ประจักษ์ สว่างจิตร
ประจักษ์ สว่างจิตร

ประจักษ์ สว่างจิตร

พันเอก (พิเศษ) ประจักษ์ สว่างจิตร หรือที่นิยมเรียกว่า ผู้การประจักษ์ (12 กันยายน พ.ศ. 248010 กันยายน พ.ศ. 2546) สำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) หลักสูตรเวสต์พอยท์ รุ่นที่ 7 ซึ่งได้รับฉายาว่า "กลุ่มยังเติร์ก" พ.อ. (พิเศษ) ประจักษ์ เป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของนายทหาร จปร.7 เป็นนักรบอาชีพที่ผ่านการรบมาอย่างโชกโชนในสมรภูมิอินโดจีน ทั้งในเวียดนาม กัมพูชา ลาว เป็นทหารที่ดุดันเอาจริงเอาจังในการตอบโต้การล่วงละเมิดอธิปไตยของไทย จนเพื่อนในรุ่นเรียกว่า "นักรบบ้าดีเดือด" และชาวบ้านบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา ตั้งฉายาให้ว่า "วีรบุรุษตาพระยา" ยุทธการที่เป็นที่โจษจันของผู้การประจักษ์คือ ยุทธการบ้านโนนหมากมุ่นล่วงมาถึงปี พุทธศักราช 2523 ในช่วงคืนของวันที่ 22 เดือนมิถุนายน กองกำลังเวียดนาม เฮง สัมริน ได้บุกโจมตีที่มั่นและค่ายอพยพที่อยู่โดยรอบชายแดน (อ.อรัญประเทศ จังหวัดปราจีนในสมัยก่อน จ.สระแก้วในปัจจุบัน) พร้อมกันหลายจุด โดยข้าศึกได้ส่งกองกำลังมากกว่า 2 กองร้อยลุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย โดยเข้าโจมตีค่ายอพยพบ้านหนองจานและโนนหมากมุ่น ฝ่ายเวียดนามพยายามใช้กำลังบังคับชาวเขมรให้อพยพกลับกัมพูชาคืน และยังรุกไล่ตีฝ่ายเขมรแดงลึกเข้ามายังแดนไทยมากขึ้น ทั้งนี้ข้าศึกจึงเข้ายึดครองพื้นที่บ้านโนนหมากมุ่นเอาไว้ ในช่วงเช้าของวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2523 เวลา 06.00 น. ชุดเฝ้าตรวจและคุ้มครองหมู่บ้านโนนหมากมุ่นของ ร.2 พัน.3 จึงได้จัดกำลังพลเพื่อตีชิงพื้นที่คืน เมื่อกำลังพลของไทยเราเข้าถึงยังเขตหมู่บ้าน ปรากฏว่าตกกลลวงของข้าศึก และโดนปิดล้อม กำลังพลไทยเสียชีวิตจากการปะทะในเบื้องต้น 12 นาย พ.อ.ประจักษ์ฯ ผบ.กกล.บูรพา ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จึงสั่งการให้ ม.พัน.2 จัดกำลังเข้าร่วมกับ ร.31 พัน.2 เข้าสมทบและช่วยเหลือ ผลการปฏิบัติการ สามารถตอบโต้การรุกของข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันขับไล่ข้าศึกให้ออกจากบ้านโนนหมากมุ่น เป็นการปฏิบัติการร่วมกันระหว่างหน่วย ม.พัน.2 และ ร.2 พัน .2 เป็นชุดรบ ร. - ถ. เข้าทำการกวาดล้างขับไล่และผลักดัน จนข้าศึกได้ร่นถอยไปอยู่บริเวณคลองยุทธวิธี ภายหลังจากการพิสูจน์ทราบ ฝ่ายข้าศึกเสียชีวิต 33 นาย ฝ่ายเราเสียชีวิต 12 นาย และสามารถยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ข้าศึกได้เป็นจำนวนมาก- ฝ่ายข้าศึกถูกสังหารสามารถยึดศพได้ 52 ศพ- ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ และสิ่งอุปกรณ์อื่น ๆ ของข้าศึกได้จำนวนมาก- สามารถผลักดันข้าศึกให้ออกจากพื้นที่ประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จแม้จะเป็นคนมุทะลุ ดุดัน แต่รักพวกพ้อง พ.อ. (พิเศษ) ประจักษ์ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ประธานวุฒิสภา, พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองพ.อ. (พิเศษ) ประจักษ์เป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศจากเหตุการณ์ "กบฏเมษาฮาวาย" เมื่อวันที่ 1-3 เมษายน พ.ศ. 2524 ที่กลุ่มนายทหารยังเติร์ก พยายามก่อรัฐประหารยึดอำนาจ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น โดยร่วมกับ พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา และ พ.อ.มนูญ รูปขจร (ชื่อและยศในขณะนั้น) ใช้กำลังพลถึง 42 กองพันแต่กลับก่อการไม่สำเร็จ ในครั้งนั้นผู้การประจักษ์รับหน้าที่ไปควบคุมตัว พล.อ.เปรม ที่บ้านสี่เสาร์เทเวศน์ แต่สุดท้าย พล.อ.เปรม สามารถหลอกล่อจนหลุดจากการควบคุมตัวได้ ขณะที่ต่อมาตัว พ.อ.(พิเศษ) ประจักษ์เองกลับถูกทหารราบ 21 นำโดย พ.ท.ณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช จับกุมตัวจนพันเอกพัลลภ ปิ่นมณี (ยศขณะนั้น) ต้องตัดสินใจบุกเดี่ยวไปช่วยเหลือ และได้เจรจากับ พล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ในที่นั้นจน พ.อ.ประจักษ์ ได้รับการรับรองความปลอดภัยหลังสถานการณ์คลี่คลายลง พ.อ. (พิเศษ) ประจักษ์ ผันตัวเองไปทำธุรกิจส่วนตัวเช่นกิจการรักษาความปลอดภัย ปั้มน้ำมัน น้ำปลาตราสว่างจิตร ข้าวสารบรรจุถุง (เจ้าแรก ๆ ของไทย) จนมาทำธุรกิจจำหน่วยเหล็กเส้น ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากก่อตั้ง บริษัท พี.โอเวอร์ซีส์สตีล จำกัด (มหาชน) และได้ร่วมผลักดันให้เพื่อน ๆ ที่ร่วมก่อรัฐประหารได้มีโอกาสกลับเข้ารับราชการใหม่ ประสบความสำเร็จเป็นนายพลตามวิถีชีวิตของแต่ละคนพ.อ. (พิเศษ) ประจักษ์เคยลงสมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ เขตบางเขน ในนามพรรคชาติไทย ในปี พ.ศ. 2529 และได้เป็น ส.ส. ถือเป็น ส.ส.ของพรรคชาติไทยเพียงคนเดียวในกรุงเทพ ฯ[1] จนกระทั่ง น.ส.จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ในปี พ.ศ. 2548 และเคยเป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์) สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัยหลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2543 พ.อ. (พิเศษ) ประจักษ์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เบอร์ 10 ซึ่งได้สร้างสีสันให้กับการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอย่างมาก จากการเกณฑ์พนักงานรักษาความปลอดภัยในบริษัทของตัวเอง ไปยืนเข้าแถวแสดงความเข้มแข็ง ขณะยื่นใบสมัครและหาเสียง อีกทั้งยังใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ที่เรียกว่า "รถโรโบค้อป" เป็นพาหนะในการหาเสียง โดยใช้นโยบายการหาเสียงว่า "จ้างยาม 5 หมื่นคน... ปราบโจร...ปราบยา.....ฯลฯ" เป็นที่ฮือฮากันอย่างยิ่ง เพราะมีการวิจารณ์ว่าเป็นการตบหน้าการทำงานของตำรวจอย่างเต็มที่[2] แม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้งก็ตาม ชีวิตส่วนตัวเคยสมรสกับ นางสัจจา สว่างจิตร มีบุตรธิดา 4 คน และเคยสมรส กับนาง กรพรรณ จันทีนอก มีบุตร ธิดา 4 คน สมรสกับนางจรรยา สว่างจิตร
ช่วงบั้นปลายชีวิต พ.อ. (พิเศษ) ประจักษ์ได้ต่อสู้กับโรคตับที่ป่วยเรื้อรังมานาน และจบชีวิตตัวเองลงด้วยอาวุธปืนในห้องน้ำที่บ้าน ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2546 ก่อนจะถึงวันครบรอบวันเกิดปีที่ 68 เพียง 2 วัน